วันอาทิตย์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2552

ประวัติพระอรหันต์จี้กง

อรหันต์จี้กง
ทรงเมตตาช่วยชาวโลก
ให้พ้นเคราะห์คลายโศก
สุขสันติประเสริฐล้ำ
กิริยาวาจา
เป็นปริศนาช่วยชี้นำ
ท่านชอบเสแสร้งทำ
กระตุ้นจิตบรรลุธรรม

พระอรหันต์จี้กง มีพระนามเดิมว่า ซิวอ้วง แซ่ลี้ เป็นชาวเมืองเทียนไถ เกิดในสมัยราชวงค์ซ้อง ท่านได้บวชอยู่ที่วัดเล่งอุ้ง ตำบลไซโอ้ว เมืองหางโจว ประเทศจีน และใช้พระนามทางศาสนาว่า " เต้าจี้ " ท่านโปรดสัตว์โดยวิธีพิสดาร จนชาวบ้านขนานนามว่า " พระสติเฟื่อง " (จี้เตียง) ท่านเป็นองค์อวตารของพระอรหันต์ได้บรรลุพระธรรม 3 ประการ ที่สำคัญได้แก่ สรรพสิ่งเกิดจากจิต ท่านยึดมั่นแต่ พุทธจิต ไม่คำนึงถึงเครื่องทรงภายนอก (รักษาศีลทางจิต ไม่ถือศีลทางปาก ปฏิบัติตนตามสบาย) คือ พระภิกษุในประเทศจีนต้องฉันเจ ไม่ฉันเนื้อสัตว์ ท่านไม่เคร่งครัดกับการฉันอาหาร สุดแท้แต่โอกาส ท่านมีอิทธิฤทธิ์กว้างขวาง โปรดช่วยมวลมนุษย์มากมายโดยอาศัยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านพ้นภัย ช่วยกอบกู้ผู้ที่ดูภายนอกเหมือนผู้มีบุญ แต่ใจบาป กลั่นแกล้งจนคนเหล่านั้นรู้สึกสำนึกตัว และกับผู้ที่โหดร้ายทารุณ จะถูกตอบโต้จนไม่สามารถจะอยู่ต่อไปได้ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข ดังนั้น ประชาชนจึงสรรเสริญว่าเป็น " พระศักดิ์สิทธิ์ " เหมือนพระพุทธที่ยังมีชีวิต ซึ่งไม่ใช่สิ่งธรรมดาสามัญ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วจริงๆ
พระอรหันต์จี้กงเคยอยู่วัดเจ็งชื้อ ต่อมาวัดนี้ถูกไฟไหม้ จำเป็นต้องได้รับการปลูกสร้างใหม่ ซึ่งต้องการได้ไม้จากเขาเงี้ยมเล้ง ท่านแสดงอิทธิฤทธิ์ปฏิหาริย์โดยใช้จีวรกางออกไป จีวรก็ปกคลุมเขาเงี้ยมเล้ง และถอนไม้จากเขาทั้งหมด แล้วนำไม้ล่องแม่น้ำสู่เมืองหางโจว แล้วท่านก็มาบอกชาวบ้านว่า ไม้ที่จะใช้ก่อสร้างบัดนี้อยู่ในบ่อธูป(บ่อที่ขุดขึ้น ใช้สำหรับเทขี้ธูปและก้านธูป)พระและชาวบ้านต่างไปดูที่บ่อธูป ก็ปรากฏเป็นเช่นนั้นจริง สิ่งที่เล่าต่อๆกันมานี้ ยังมีหลักฐานปรากฏอยู่มากมาย พระอรหันต์จี้กงได้นั่งสมาธิ จนเข้าฌานปลงสังขาร ในรัชสมัยพระจักรพรรดิเกียเตีย อัฐิของท่านถูกบรรจุไว้ในเจดีย์เสือผ่าน ก่อนที่ท่านจะปลงสังขาร ท่านได้ปริศนาธรรมไว้ว่า "หกสิบปีมานี่ กำแพงตะวันออกล้มตีกำแพงตะวันตก รวบรวมจนถึงบัดนี้ก็ยังคงเหมือนเดิม ท้องฟ้าก็ยังจดขอบฟ้าเช่นเดิม" หลังจากท่านปลงสังขารแล้วไม่นาน ก็มีพระภิกษุรูปหนึ่งได้พบพระอรหันต์จี้กงนั่งอยู่ใต้เจดีย์ชื่อ"หลักฮั้ว" และยังได้ผากหนังสือให้บทหนึ่งว่า "หวนรำลึกสมัยก่อน มีศรยิงมาทางด้านหน้า ถึงบัดนี้รู้สึกหนาวเหน็บกระดูกไปทุกขุมขน เนื่องจากไม่มีใครรู้จักหน้าตาแล้ว ยังขึ้นไปวิ่งเล่นบนดาดฟ้าหนึ่งรอบ" ที่ท่านลงมาอีกครั้งหนึ่งเป็นพระประสงค์ของมหาโพธิสัตว์ ตลอดพระชนม์ชีพของท่าน ได้ช่วยเหลือและอบรมชาวบ้านโดยวิธีการเสแสร้งต่างๆกันมาตลอด โดยไม่มีอุปสรรค ตัวท่านเป็นพระภิกษุ มีจิตที่เป็นมหาโพธิสัตว์ ท่านมีแต่จีวรขาดๆ รองเท้าขาดๆหนึ่งคู่ โดยไม่สนใจว่ามันจะเปื้อนโคลนหรือไม่ มือก็ถือพัดเล่มหนึ่ง ไม่กลัวทั้งที่ต่ำและที่สูง ศีรษะโล้น เท้าเปลือยเปล่า ไม่หนาวไม่ร้อน ไม่ต้องบิณฑบาตเพราะไม่หิวไม่กระหาย พบใครก็เอาแต่อมยิ้ม เพื่อจะได้แผ่บุญ ไม่หลบสังคม พบเสียงทุกข์ก็เข้าช่วยเหลือ ท่านมีจิตเมตตาไม่ถือสา การ ปรากฏตนของท่าน เอาแน่เอานอนไม่ได้ กิริยาล้วนเป็นปริศนาธรรม ธรรมะของท่านเป็นที่กล่าวขาน จนได้รับการยกย่องว่าเป็นพระอาจารย์ทางพระกัมมัฏฐาน แม้ท่านจะละสังขารจากโลกนี้ไปแล้วแต่ธรรมะท่าน ยังมีประโยชน์ต่อมวลมนุษย์เสมอมา ดังนั้น จึงได้สมัญญาว่า เป็นพระพุทธที่ยังมีชีวิตอยู่ ในสมัยปัจจุบันนี้ท่านลงมาประทับทรงที่สำนักเซี้ยเฮี้ยงตึ้ง โดยเอาวิญญาณคุณหยางเซิงไปเที่ยวเมืองสวรรค์ และคุณเอี้ยเซงไปท่องขุมนรก เพื่อเปิดเผยความลี้ลับของสวรรค์และนรก ให้ชาวโลกได้รู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น